วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

ควังจู Gwangju !! เกาหลีไม่มีโหล ( ตอนที่ 1 )

     

                                                                                        
การเป็นศิลปินอิสระทำให้มีโอกาสได้ไปแสดงงานที่เกาหลีอยู่
บ่อยครั้ง แต่ละเที่ยวที่ไปก็ไม่เคยซ้ำจังหวัดกันเลยซักที อยาก
ลองแบ่งปันบางทริปที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังครับ

Gwangju Fringe Festival !!!

ที่เลือกพูดถึงงานนี้ไม่ใช่เพราะควังจูมีการจัดงานที่ดีกว่าที่อื่น
แต่เพราะเป็นเมืองเดียวที่มาแล้วไม่เจอคนไทยเลย
แปลว่ายังไม่เป็นที่นิยม หรือ ไม่เป็นที่รู้จัก
ฝรั่งก็น้อยมาก เห็นอยู่สองคนโดยประมาน

✈✈✈✈✈✈✈✈✈✈✈✈

ด้วยความที่ไม่มีข้อมูลควังจูเลย ทำให้กังวลเล็กน้อยเมื่อเท้าแตะ
ถึงสนามบินอินชอน   แต่โชคดีแม้ไม่ได้แจ้งทีมงานไว้เขาก็ยังส่ง
คนมารับเรา .. ผมมองดูสาวเกาหลีที่ถือป้ายชื่อ Nong Hao ซึ่ง
เป็นนามปากกาที่ผมใช้ในการแสดง เธอโบกมือดีใจแกว่งแขนเต็ม
แรงเหมือนได้เจอ คริสเตียโน โรนัลโด้ ..  ความจริงคงรอนานมาก
กว่า เพราะเครื่องบินมันขับช้า จากอาการคงอยากกลับบ้านเต็มที

ยังไม่ทันได้สวมกอด หรือ หันแก้มชนกัน
สาวเกาหลีผู้อยากกลับบ้านก็ยื่นมือถือมาตรงหน้า เกือบทิ่มตา
" คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด คำพูดของคุณจะถูกนำไปพิจารณาในชั้น
ศาล " เสียงจากหนังในเวปเถื่อนที่เธอดูค้างไว้ดังกลบทุกสิ่งใน
เกาหลี
" โอ้ ซอลี่ " เธอขอโทษ แต่ไม่ทันที่ผมจะให้อภัย ก็หันไปซุบซิบ
กับมือถือของตัวเองอีกครั้งแล้วยื่นมาใหม่
" ไปที่รสบัส " อ้า วุ้นแปลภาษาสัญชาติซัมซูงช่วยเปลี่ยนคำพูด
จากเกาหลีเป็นอังกฤษ ของเขาดีจริง เมืองไทยมีใช้รึยังนิ

ผมลากกระเป๋าตามสาวเกาหลีไปเข้ากลุ่ม ที่นั่นมีนักแสดงอีกสองชาติ ทั้งจีนและญี่ปุ่นรออยู่ก่อนแล้ว
" โทษทีครับ เครื่องบินมันขับช้า " เป็นคำแก้ตัวที่ใช้ได้ตลอด
ระหว่างนั้นวุ้นแปลภาษาก็ทำหน้าที่อีกเป็นพัลวัน จีนก็มา ญี่ปุ่นก็
มา แต่ไม่มีภาษาไทยอยู่ดี
หนุ่มสาวเกาหลีบางคนยังอ่อนภาษาอังกฤษไม่แพ้บ้านเรา หรือ
อาจจะหนักกว่า แปลว่าระบบการศึกษาของเขาแย่พอกับเรารึนี่
แม้แต่คำง่ายๆอย่าง บูรณาการ หรือ โลกาภิวัฒน์ พวกเขาก็ยังไม่
เข้าใจ .. ไม่นานนักรถบัสก็มาจอดตรงหน้า เกือบทิ่มตา


จากโซลไปควังจูใช้เวลาสี่ชั่วโมง ..
เพิ่งลงจากเครื่องก็ต้องเสียบซิทเบลอีกแล้ว
ตอนถอดแต่ละทีเป็นรอยงูสวัดรอบเอวไปหมด
ขณะที่คนอื่นๆกำลังปรับเบาะขึ้นลงกันอย่างสนุกสนาน
ผมมองเครื่องที่เพิ่งจะขึ้นสู่ฟ้า อึม ! บินช้าจริงๆด้วย

รถบัสพาทีมนักแสดงสามสัญชาติ รวมถึงคนที่เราไม่รู้จักเต็มคัน
ออกจากโซลราวสองชั่วโมง จึงได้แวะดื่มน้ำปัสสาวะ หมายถึง
ให้ดื่มน้ำ หรือ ปัสสาวะ
ผมใช้เวลานี้ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทางจนสนิท เผื่อเยี่ยวนาน
มันจะได้รอ และรู้สึกถึงความยุติธรรม เพราะสาวเกาหลีที่เราเจอ
ตรงสนามบินไม่ได้ตามมาด้วย จึงไม่มีใครใช้วุ้นแปลภาษา


หลังจากโดนโชเฟอร์ต้อนขึ้นรถเหมือนหมูเหมือนหมา ฟังไม่รู้
เรื่องแต่สนุก ชิมเปเพื่อนชาวญี่ปุ่นยื่นขนมก้นกล่องมาให้ผม ซึ่ง
เหลือมาจากนักแสดงจีนอีกที
เพิ่งกินครั้งแรกเลยไม่รู้เรียกว่าอะไร คล้ายข้าวเกียบ แต่ว่าอร่อยดี
เพราะฟรีรึป่าว ?


เมื่อถึงควังจูฟ้าเริ่มมืดแล้ว ผมมองอะไรไม่เห็นเพราะยังหลับตา
อยู่ ที่สถานีมีสาวเกาหลีชุดใหม่มารับพวกเรา
ไม่มีการสวมกอด หรือ เอาแก้มชนกันอีกตามเคย
พวกเธอรีบพานักแสดงทั้งหมดไปทานข้าว เพราะเราเริ่มกินกัน
เองแล้ว
เมนูร้านนี้พอมีรูปให้ชี้หน่อย หลังจากที่ได้ความเห็นจากเจ้าภาพ
แล้วผมก็สั่งอย่างอื่น


น่าทานมั้ยครับ ? ร้านนี้ใจดี น้ำเปล่ารินฟรีไม่อั้น

อ้า อิ่มอร่อยตังค์อยู่ครบ
จากนั้นทีมงานสาวก็โบกแท๊กซี่พาเราเข้าที่พักทันที
แท๊กซี่เกาหลีขึ้นชื่อในการขับรถเร็ว เร็วกว่าเครื่องบินเยอะ

อุณหภมิที่ควังจูโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14 องศา
จะเหลือ 0 ก็ต้องเดือนมกรา ซึ่งต้องขอบคุณผู้จัดมากที่ไม่เชิญมา
เล่นกลางหิมะ อย่างไรเสียคืนนี้เพียงแค่แง้มหน้าต่างหน่อยก็หลับ
สบายแล้ว


มองจากนอกหน้าต่างยามรุ่งสางก็ทำให้แปลกใจ
" ที่นี่เจริญแล้วนิหว่า " ผมคิด
" เห็นชื่อไม่คุ้นนึกว่ายังกันดาร " ยังพูดคนเดียวเหมือนในละคร
" ต้องไปสำรวจซะหน่อยแล้ว " ก็ยังพูดคนเดียวอยู่

โรงแรมแห่งนี้มีมื้อเช้ากินฟรีเหมือนที่เมืองไทย
เพียงแค่ไม่ใช่ไข่ดาวหมูแฮมอย่างที่คิดเท่านั้นเอง
พอนั่งปุ๊บอาจุงม่าก็เสริฟ์เลย ไม่ต้องสั่ง ถึงสั่งก็ไม่ให้


กินเสร็จก็ออกมาส่องสาวซิ
พบว่าที่พักของเราตั้งอยู่กลางแหล่งช๊อปปี้เลยทีเดียว
เหมือนนอนในสยามหรืออะไรทำนองนั้น
โรงแรมมีชื่อว่า Palace hotel
สามดาวเห็นจะได้ เผื่อใครอยากมาลอง


เดินเล่นอยู่บน Chungjang-ro street
เข้าซอยโน้นออกซอยนี้จนมาปะเข้ากับรูปปั้นสีทองเหลืองอร่าม
เป็นหุ่นสาวที่มีไว้รำลึกถึงผู้หญิงเกาหลีที่เคยถูกทหารญี่ปุ่น
ข่มเหง ใบหน้าที่ดูเศร้าแบบนี้ยังสามารถพบเห็นได้อีกในหลายจุด
ของเมือง .. ของมันลืมได้ แต่ลบกันไม่ได้อะนะ


อ้อ ! สังเกตว่าที่กวางจูมีทั้งอนุสวรีย์ และนิทรรศการเกี่ยวกับ
สงครามเยอะเหมือนกัน  รวมถึงที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์การเมืองใหม่อีกด้วย จากการที่ นศ.เรือนแสนลุก
ขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลทหารในปี 1980 จนมีผู้เสียชีวิตมากมาย
อารมณ์ 14 ตุลา แต่ทุกวันนี้พณท่านของเราก็ยังอยู่


ตอนเที่ยงมีการนัดดูพื้นที่ก่อนเริ่มแสดงในวันจริง
เจ้าภาพพาเราไปกินมื้อเที่ยง กินอีกแล้ว ?
ของเก่ายังเคี้ยวไม่หมด ..
เมนูที่ร้านก็ดันไม่มีรูปด้วยสิ ต้องวานทีมงานช่วยแนะนำ
จนได้หมี่เย็นเป็นทางเลือก

เพียงอึดใจ Naengmyeon Cold Noodle ก็ถูกนำมาเสริฟ
หมี่เย็นเกาหลีไม่เหมือนของญี่ปุ่นเลยซักนิด
น้ำแข็งท่วมขัน ทั้งหนาวทั้งเหนียว กัดจนฟันเป็นเส้นเลือดขอด เดือดร้อนทีมงานต้องเอากรรไกรมาตัดให้
กินหมดจนเป็นไข้ ตัวรุมๆคิดถึงแกงเรียง


เมื่อหายเหนื่อยจากการเดินทางไกลมาตั้งแต่เมื่อวาน
ถึงเวลาที่เราจะต้องเริ่มงานกันซักที
ผมได้รับฟังถึงรายละเอียดต่างๆที่จำเป็นต้องปฏิบัติ
โดยจากนี้ไปจะมีล่ามส่วนตัวคอยประกบจนจบเทศกาลอีกด้วย
ล่ามของผมแก่คราวพ่อ แต่ยังแข็งแรงราวกับ จูม้ง มหาบุรุษกู้
บัลลังก์ เขาให้ผมได้ทุกอย่างยกเว้นร่างกาย เพื่อให้งานออกมาดี

Democretic Square คือลานกว้างกลางแจ้งที่ดูเหมือนจะเป็น
แลนมารค์มองเมือง  ทีมงานได้นำกระโจมหนึ่งโหลมาเรียงไว้
สำหรับนักแสดงทั้ง 12 กลุ่ม เพื่อใช้แทนที่พักหรือเอาไว้เก็บของ
ผมเดินหาบ้านใหม่ตามชื่อที่แปะอยู่ด้านข้าง ลองเข้าไปเกือกกลิ้ง
ดูเผื่อใช้มันทำประโยชน์ได้มากกว่านั้น มุดอยู่นานรู้สึกเหมือนเป็น
อินเดียแดงพลัดถิ่น


บริเวณโดยรอบ Democretic Square มีพื้นที่กว้างและสวยงาม
เพราะเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ศิลปะ ACC  โดยภายในพื้นที่ใกล้
เคียงประกอบไปด้วยอาคารหลังใหญ่ที่อยู่ติดกันหลายหลัง
ผมใช้เวลากับที่นี่นานพอสมควร  ซึ่งก็ต้องกลับมาเดินอยู่หลาย
ครั้งกว่าจะเก็บครบทุกรายละเอียด โดยรวมก็มีนิทรรศการ โซน
สถาปัตย์ งานออกแบบ วิดีทัศน์ รวมถึงหอสมุดขนาดใหญ่ เป็น
เมืองที่จริงจังในการพัฒนาพลเมืองเป็นอย่างมาก แต่ละอย่าง
ลงทุนมหาศาล ไม่ผักชีโรยหน้า
การส่งเสริมศิลปะทำให้เห็นว่าปัจจัยพื้นฐานของควังจูมีความ
สมบูรณ์พร้อมแล้ว สมกับคำว่ามหานคร


เดิมเสพงานศิลป์จนทั่วแต่น่าประทับใจที่สุด คือมุมจัดแสดงผล
งานของศิลปินเอเชีย  โดยมีการแบ่งโซนเป็นประเทศต่างๆตาม
ตัวอักษร  ในส่วนของศิลปินไทยผมได้เห็นหนังอินดี้ของคุณเจ้ย
อภิชาติพงศ์ กำลังจัดแสดงอยู่บนจอมอนิเตอร์เล็กๆ เห็นอย่างนี้
ก็ปลื้มใจแทนพี่เขาเหมือนกัน รวมถึงทีมงานเบื้องหลังทุกคนด้วย


การดูงานศิลปะไม่ใช่เรื่องยากนะครับ บางคนกลัวที่จะเสพเพราะ
กังวลว่าจะดูไม่รู้เรื่อง อยากแนะนำแบบนี้นะ คิดซะว่ามองผู้หญิง
ถ้าชอบก็จ้องนานหน่อย หากไม่เข้าตาก็ไปหาอย่างอื่นดูต่อ
คงไม่มีศิลปินคนไหนเข้าใจงานศิลปะทุกชิ้นบนโลก เราซึ่งเป็นลูก
ตาสีแค่มองด้วยใจว่างก็พอ ถ้ามันจะสะท้อนความรู้สึกบางอย่างก็
คงผุดขึ้นมาเอง ไม่ต้องเค้นเดี๋ยวหัวหงอก อย่าไปกดดันตัวเอง


คนกลางนี่น่าจะเป็นเพ็ญพักตร์เกาหลี !!
บนป้ายโฆษณาสมัยสงครามโลก 💣💣

ยังพอมีที่เที่ยวอีกเล็กน้อยเท่าที่ผมจะแว๊ปไปได้
แต่เกรงว่าจะยาว จึงขอแบ่งเป็นสองตอน
เชิญติดตามตอนต่อไปจากทางบล๊อกได้เลยครับ


1 ความคิดเห็น:

ความลับอิคิวซัง ! เผยไต๋ไอเดียปิ้ง

อิคิวซังคือใครคงไม่ต้องเท้าความกันให้มาก ตอนเด็กๆผมก็เคยเป็นคนนึงที่ตื่นเต้นกับความสามารถสุดล้ำ ของเณรน้อยเจ้าปัญญาผู้นี้ เพราะเพียงแค่เอา...