วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

เจาะวิวสวยเจริญกรุง : ฮิปสเตอร์ตัวพ่อเห็นเป็นต้อง แชะ !!

ความเก่าแก่กลมกลืนกับศิลปะร่วมสมัยของตะวันตก
ทำให้เจริญเกรุงป็นถนนเส้นยาวที่มีแรงดึงดูดมหาศาล
แม้จะต้องตัดทอนให้เหลือเพียง 3-4 กิโล ที่เหมาะแก่การเดินเท้า
ก็ไม่ทำให้ความสนุกตื่นเต้นของทริปนี้ลดน้อยลงเลย

เพื่อการเดินทางที่สะดวกจะขอเริ่มตั้งแต่ BTS สะพานตากสิน
เพียงแค่เดินลงมาด้านล่างก็จะพบกับ ศาลเจ้าเจียงเองเบี้ยว
เป็นที่แรกของวัน

ศาลเจ้าไหหลำแห่งนี้ มีอายุ 150 ปี ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงชาวจีน 108 คน
ที่ออกเรือมาค้าขายที่บางรัก แต่กลับถูกสังหารหมู่ที่เวียดนามเสียก่อน
แหม เริ่มมาก็เศร้าเลย ด้วยเรื่องราวที่สะท้อนความยากลำบากของ
พ่อค้าสมัยก่อน ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้ดูมีที่มา และน่าจดจำมากยิ่งขึ้น
สถาปัตย์ภายในของศาลเจ้ายังคงสวยงามแบบดั้งเดิม คือไม่เว่อวัง
จนเกินไป เดินเข้ามาแล้วรู้สึกอบอุ่น พอให้ แชะ !! กันซักเล็กน้อย
เป็นการอุ่นเครื่อง


จุดหมายต่อไปให้ออกมาหน้าถนน และเลี้ยวซ้ายผ่านโรบินสัน
เดินต่ออีกนิดจนถึงเจริญกรุง 42/1 หรือปากซอยแชงการีล่า
วัดสวนพลูที่เด่นด้วยสีแดงเลือดหมู ตั้งอยู่ในซอยทางขวามือ
เชื่อว่าใครเห็นเป็นต้องเตะตาทันทีกับกุฏิสงฆ์เรือนไม้สองชั้น
ที่มีหลังคาทรงปั้นหยากับชายระเบียงที่ฉลุลายไม้สีขาวสวยงาม
แชะ แชะ !! วัดแห่งนี้ตั้งชื่อตามสถานที่ปลูกพลู ในยุคที่ชาวบ้าน
ยังนิยมกินหมากพลูกันอยู่ และยังได้รับรางวัลอนุรักษ์ดีเด่นจาก
สมาคมสถาปนิกสยามอีกด้วยน้า


เชื่อว่าคงได้กันมาอีกหลายภาพเลยนะครับ
เมื่อสำรวจวัดสวนพลูจนพอใจแล้วก็ไปต่อกันเลย
ออกจากปากทางแชงการีล่าให้เลี้ยวซ้ายลงไปจนถึงเจริญกรุง 40
หน้าโรงเรียอัสสัมชันนั่นละ
จากเจริญกรุง 40 เดินเข้าซอยเรียบกำแพงไปจนถึงประตูด้านข้างของโรงเรียน เมื่อเข้ามาแล้วจะพบอาสนวิหารอัสสัมชัญขนาดมหึมา เห็นแล้วเป็นต้องตื่นตากับความงามของหินอ่อนที่ประดับด้วยกระจกสีเฟรสโกจากอิตาลี ซึ่งอาสนวิหารแห่งนี้ยังจัดเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย 
เราอาจต้องใช้เวลาตรงนี้นานซักหน่อย เพราะน่าถ่ายไปซะทุกมุมรวมถึงยังมีอาคารโดยรอบที่สวยงามไม่แพ้กันอีกแนะ


เครื่องเริ่มร้อนแล้วใช่มั้ยครับ อย่ารอช้า
ออกจากประตูข้างของโรงเรียนบานเดิม
แล้วเดินลึกเข้าไปจนสุดซอย จะผ่านตึกเก่าทอดยาว
แลดูร้างแต่แฝงไว้ซึ่งมลขลังตลอดเส้นทาง
โดยมีไฮไลท์อยู่ที่อาคาร The East Asiatic ตรงริม่น้ำ
บันไดด้านหน้าของตึกราวกับพระราชวัง
ความคลาสสิคของมันทำให้พื้นที่ตรงนี้ยังใช้จัดงานสำคัญๆอยู่
บ่อยครั้ง


รู้ว่าอยากอยู่นานๆนะครับ แต่เรามีภารกิจที่ต้องไปต่อ
เดินกลับขึ้นมาบริเวณประตูข้างของโรงเรียนอัสสัมชันอีกครั้ง
ซ้ายมือจะมีทางให้ทะลุไปซอย 38 ..
โดยจะเรียบไปกับหลังคาทรงไทยของโรงอุตสาหกรรมในครัว
เรือน ที่เห็นแล้วหากชอบใจก็หยุด แชะ !! ได้เหมือนกัน


ถัดมาเราจะพบกับห้างสรรพสินค้า OP.PLACE shopping plaza ที่อาจจะทำให้บางคนนึกถึงฉากในละครทีวีบางเรื่อง
ซึ่งถือเป็นสถานที่ยอดฮิตอีกแห่งสำหรับการถ่ายพรีเวดดิ้ง
โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นแนวกำแพงสีขาวขนาดใหญ่


ถึงครึ่งทางของเรารึยังนะ ?
ทำเป็นว่าจะออกไปทางปากซอย 38
แต่ก่อนถึงให้เลี้ยวซ้ายไปนิดนึง ..
ถัดจาก OP.PLACE อีกฝั่งจะมีเรือนไม้สีเขียวเด่นตะหง่าน
ของหอประชุมอันยุมันอิสลาม
ด้วยสีสันสดใสของมัน แชะ !! ซักหน่อยคงดี


ออกไปเรียบทางเดินริมถนนอีกครั้ง ด้วยพลังแห่งการเซลฟี
ทำให้เรามาถึงวัดดวงแคที่เจริญกรุง 34 อย่างง่ายดาย
ตามประวัติไม่ปรากฏแน่ชัดว่าวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อใด
พื้นที่ไม่มากมาย แต่มีกิมมิคน่ารักๆ อยู่ที่รูปปั้น 12 ราศีนักษัตร
บนกำแพงรอบอุโบสถที่ใครลองได้เห็นก็จะต้องเดินหาปีนักษัตร
ของตัวเอง หากตรงกับตัวไหนก็ถ่ายเก็บไว้เลย แชะ !!
ผมเกิดปีงูดูไม่น่ารักซักเท่าไหร่


ใช้เวลาไม่ต้องนานจากวัดดวงแค ..
ถัดมาจะเจอตึกไปรษณีกลางหลังใหญ่สไตล์นีโอคลาสสิค
ที่ตอนนี้ส่วนหนึ่งได้กลายเป็นที่ตั้งของศูนย์สร้างสรรค์ TCDC
ไปซะแล้ว จึงมีการปรับภูมิทัศน์ให้สวยงามเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น
ดูอลังกาลทั้งจากภายนอกและด้านใน
ชั้นล๊อบบี้ของ TCDC มีจำหน่ายสินค้าที่ผ่านการออกแบบอย่าง
เก๋ไก๋มากมาย แต่เมื่อมาถึงแล้วอย่าลืมขึ้นไปที่ชั้น 5 นะครับ
มีระเบียงสวนที่ใครก็สามารถขึ้นไปถ่ายรูปคู่กับตัวครุฑชัดๆได้อีก
ด้วยนะ ซอกแซกน่าดูนะเราเนี่ย


เหนื่อยกันรึยังคับ ? แต่สนุกใช่มั้ยฮะ ?
เข้าเจริญกรุง 32 ซอยข้างไปรษณีย์กลาง
เดินลึกเข้าไปจะพบกับภาพผนังจำนวนหนึ่ง
ที่เกิดขึ้นจากโครงการ Bukruk Wall Art Festival
ภาพเขียนเหล่านี้ถูกถ่ายถอดโดยศิลปินจากหลายประเทศทั่วโลก
ซึ่งน่าเสียดายที่บางจุดกลับพบว่ากลายเป็นที่ตั้งของถังขยะ หรือ
ถูกบดบังจากชาวบ้านที่ไม่เห็นความสำคัญ เราจะพบผลงานเจ๋งๆ
เหล่านี้ได้อีกเป็นระยะนะครับ
ชอบชิ้นไหนก็โดดเข้าไป แชะ !! กันเลย


หลังจากชมภาพเขียนบนกำแพงไปจนถึงริมน้ำกันแล้ว
เดินย้อนกลับมาจะมีช่องไม่ลับนำไปสู่โกดังเก่าที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ นามว่า WAREHOUSE 30 ซึ่งเป็นที่รวมตัวของงานดีไซด์มากมาย ทั้งของใช้เสื้อผ้าหนังสือ เป็นสตูดิโอ และยังมีมินิ
เธียเตอร์ไว้คอยฉายหนังนอกกระแสให้ดูกันอีก แจ๋วมั้ยละ ?
ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ศิลปะที่สร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี
และแน่นอนมุมสวยๆให้ถ่ายรูปก็ยังมีมากอีกด้วย อย่าลืมเก็บภาพ
แสงเงาที่ตกกระทบทางเดินหน้าร้านด้วยนะ แชะ แชะ แชะ แชะ


ขอบคุณที่เราเลิกใช้ฟิลม์กันแล้ว ไม่งั้นคงหมดตัวจากทริปนี้เป็นแน่ ถ้าร้อนหรือเหนื่อยก็นั่งจิบกาแฟตากแอร์กันก่อน แต่อย่าเพิ่ง
ถอยซะละ

ฝั่งตรงข้ามของโกดัง WAREHOUSE 30
ก็ยังมีอีกตึกที่คงความคลาสสิคด้วยสีขาวที่ดูเรียบง่าย
ซึ่งเป็นที่ตั้งของ PT.GALlERY / บริษัทชวนิชย์ และ FIFTY
YEAR ที่จำหน่ายของเก่า


ออกจากโครงการ WAREHOUSE 30 ฝั่งเจริญกรุง30 ( ซ.กัป
ตันบุช ) แล้วเลี้ยวซ้าย
ถนนเส้นเล็กจะพาเราไปพับกบ เอ้ย! พบกับ ประธานาธิบดีเนลสัน
แมนเดลา ท่านคอยอยู่บนกำแพงกับใครอีก 2-3 คนก็ไม่ทราบ
แต่ถือเป็น ART WALL อีกชิ้นที่โดดเด่นและจะพลาดไม่ได้เลย


เยื้องกับท่านประธานาธิบดี ฝั่งตรงข้ามจะเป็นบ้านเลขที่ 1
หลังใหญ่สวยงาม
เดิมถูกทิ้งให้ทรุดโทรมมาเป็นเวลานาน จึงมีการบรูณะใหม่ทั้ง
หลัง ซึ่งร่างแรกของบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.1900
บ้านเลขที่ 1 จัดเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ คนภายนอกจึงไม่อาจ
เข้าไปได้ เว้นเสียแต่จะมาเช่าพื้นที่เผื่อจัดงานเลี้ยงต่างๆ
ผมยืนชะโงกหัวอยู่นาน จนทราบว่าด้านในกำลังจัดเตรียมงานแต่ง
กันอยู่ โรแมนติคจัง


แวะรับไอเย็นอีกแปบ กับห้างรีเวอร์ซิตี้ที่อยู่ถัดไป
พื้นที่ชั้นล่างมีการปรับปรุงโฉมใหม่อีกเช่นกัน ทำให้ดูทันสมัยขึ้น
กว่าเดิม
ห้างนี้เป็นแหล่งรวมของเก่า หรือของใหม่ที่ทำให้ดูเก่า
เป็นศูนย์รวมแกลลอรี่ที่สำคัญหลายแบรน
โดยกลุ่มลูกค้าจะเป็นเศรษฐี นักธรุกิจ และชาวต่างชาติที่มาล่อง
เรือซะมากกว่า
เมื่อมาถึงแล้วก็อย่าลืมออกไปถ่ายภาพริมน้ำด้านหลัง
และมาแชะกับบันไดตัว Y ตรงลานโล่งชั้น 1 ด้วยนะฮะ


ออกมาจากริเวอร์ซิตี้แหงนหน้าขึ้นจะเห็นยอดโบสถ์กาลหว่าร์ที่
อยู่ติดกันด้านขวามือ เดินผ่านซอยเล็กๆออกมาก็จะถึงทันที
เดิมที่ดินแห่งนี้เป็นชุมชนโปรตุเกสที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยา
และได้สร้างโบสถ์แห่งแรกของพวกเขาขึ้นในปี พศ.2434
ปัจจุบันโบสถ์กาลหว่าร์ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับ รร.กุลาบวิทยา
หลังเลิกเรียนจึงเห็นเด็กน้อยวิ่งเล่นหรือนอนกลิ้งอยู่หน้าโบสถ์
เป็นประจำ ผมนั่งพักสายตาต่อหน้าพระเยซูที่ถูกตรึงอยู่บนไม้
กางเขนได้ซักพัก ไม่น่านก็มีเสียงสวดจากเด็กคนนึงดังขึ้นข้างหู
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ !!
เอ่อ แบบนี้ก็ได้เหรอ


บริเวณนี้ยังมีสถาปัตยกรรมสำคัญที่พลาดไม่ได้อีกแห่ง
นั่นคือ ธ.ไทยพานิชย์แห่งแรกของประเทศไทย สาขาตลาดน้อย
ซึ่งอยู่ถัดจากโบสถ์กาลหว่าร์นั่นละครับ
ก่อตั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงสวยงามเกินบรรยาย
เจ้าหน้าที่อนุญาติให้ถ่ายภาพเพียงด้านนอกเท่านั้น
คืนปล่อยให้เซลฟีด้านใน ไม่รู้ใครจะวางแผนปล้นรึป่าว

ปล. แต่เรียนตามตรง นานมาแล้วผมก็เคยถ่ายภาพด้านในอยู่
เหมือนกันนะครับ ช่วงที่มาฝากเงินบ่อยๆ


ถ้ายังไหวเราไปต่อกันอีกซักที่ละกัน
ออกมาหน้าซอย และเลี้ยวซ้ายไปตามถนนจนถึงเจริญกรุง 20
เพื่อชมวัดอุภัยราชบำรุง หรือ วัดคั่นเวิน ในภาษาเวียดนาม
เหตุที่มีชื่อสองภาษา เพราะวัดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวเวียดนามอพยพในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 รัตนโกสินทร์ตอนต้น
โดยหน้าวัดยังมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ได้รับมาจากรัฐบาลอินเดีย
เป็นพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 อีกด้วย


เวลาน่าจะใกล้ค่ำพอดี บางท่านอาจจะหมดสภาพไปนานแล้ว
ไหวแค่ไหนก็เที่ยวแค่นั้น ไม่จบทริปก็ไม่เป็นไรครับ ตำรวจไม่จับ
ถึงตรงนี้หากใครอยากทานมื้อดึกที่เยาวราชก็แค่เดินตรงไปอีกนิด
หรือจะต่อ MRT กลับบ้านก็ข้ามฝั่งถนนจากหน้าวัด แล้วเลี้ยวขวา เดินต่ออีกนิดก็ถึงสถานี

หวังว่าทุกคนคงมีความสุขกันบ้างนะครับ
โปรดตรวจสอบทรัพย์สินมีค่าของท่านให้เรียบร้อยก่อนกลับ
และขอขอบคุณที่ไว้วางใจในการนำทริปของเค้าน้า

 👢👢👢👢👢👢👢👢👢

ด้วยความรักพี่เสียดายน้อง แต่เพื่อความสะดวกในการเดินเที่ยว
ผมจึงต้องกลั้นใจตัดบางจุดที่อยู่นอกเส้นทางออกไปบ้าง
สถานที่ด้านล่างต่อจากนี้ ถือซะว่าเป็นอีกทางเลือกละกันนะครับ

หลังจากถ่ายรูปริมแม่น้ำชมงานศิลปะที่ริเวอร์ซิตี้เสร็จแล้ว
ให้เดินตรงออกมาที่แยกสี่พระยา เลี้ยวซ้ายไปนิดเดียวก็จะพบ
OLD TOWN ตรงเจริญกรุง 28 เป็นทั้งโฮสเทลและร้านกินดื่ม
ยอดนิยมสำหรับต่างชาติ ในตอนเช้าเราสามารถถ่ายรูปร่วมกับ
Daeyun Kim ซึ่งเป็น Wall Art ของศิลปินเกาหลี  แต่นก
Meubon ตัวใหญ่ด้านบนคงจะขึ้นไปแชะยากซักหน่อย


เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ว่าจะไม่พูดถึงร้านอาหารเลยก็อดไม่ได้
อยากให้ลองแวะชมร้านอาหารญี่ปุ่นระดับตำนาน ซึ่งเป็นร้านแรก
ของประเทศไทยที่เปิดมากว่า 79 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2482
หากสงสัยว่าอยู่ตรงไหน ? ให้กลับไปยืนที่แยกสี่พระยาอีกครั้ง
จะเห็นป้ายสีเหลืองแดงเขียนคำว่าฮานาย่าตัวใหญ่ๆ
โดยร้านนี้จะเปิดตั้งแต่ 11 โมงถึงบ่าย 2 และเปิดอีกทีตอน 5 โมง
ถึงสี่ทุ่มนะครับ คุณภาพการันตี


แต่หากท่านไม่ได้สนใจการกินมากนัก ให้ข้ามถนนจากร้าน Old
Town มาอีกฝั่ง จะเห็น BB office ที่ด้านหลังมีสวนย่อมน่ารัก รวมถึงชั้น 2 ของร้านกาแฟยิปอินซอย ก็ชิวดี ขึ้นไปเก็บภาพสวยๆ
หรือจะนั่งเล่นจิบเครื่องดื่มอีกซักพักก็ได้


ที่สุดท้ายของเราให้เดินตามถนนขึ้นไปอีกเพียงอึดใจ
ท่านจะพบวัดมหาพฤฒาราม วัดโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่กรุงศรี
อยุธยายังเป็นราชธานี เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร
เดิมทีใช้ชื่อวัดตะเคียน เรียกตามต้นตะเคียนที่มีมากในสมัยนั้น
ภายในอุโบสถมีพระนอนขนาดใหญ่ รอเราไปเก็บภาพให้เย็นใจ
ก่อนกลับบ้านกันด้วย


ก็ขอจบทริปโดยสมบูรณ์แต่เพียงเท่านี้นะครับ
หากออกจากวัดด้วยประตูเดิมที่เข้ามา เลี้ยวไปทางขวา
ก็จะเจอ MRT สถานีหัวลำโพงอยู่ข้างหน้า
แต่ถ้าอยากขึ้นรถเมล์สายแรกของประเทศ
ก็ต้องสาย 1 สีส้มหน้าวัดเลยครับ
รับประกันว่า Fast กว่าสาย 8 ในตำนาน
กระชากทีแขนที่โหนเกือบขาด
ผมคนเดียวขาดสองข้าง ต้องขอคนท้องนั่งตัก
ว่ะ ขนาดเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นส้มแล้วนะ








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความลับอิคิวซัง ! เผยไต๋ไอเดียปิ้ง

อิคิวซังคือใครคงไม่ต้องเท้าความกันให้มาก ตอนเด็กๆผมก็เคยเป็นคนนึงที่ตื่นเต้นกับความสามารถสุดล้ำ ของเณรน้อยเจ้าปัญญาผู้นี้ เพราะเพียงแค่เอา...